ปักกิ่ง 18 พฤศจิกายน 2567 /PRNewswire/ — บราซิลได้ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม G20 อย่างเป็นทางการเป็นเวลา 1 ปี ในเดือนธันวาคม 2567 ภายใต้คำขวัญ "สร้างโลกที่ยุติธรรมและยั่งยืน" (Building a just world and a sustainable planet) ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของบราซิลและจีนในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และมีส่วนร่วมในความพยายามระดับโลกเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ
ในตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความร่วมมือในภาพส่วนต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งรวมไปถึงพลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีอวกาศ และเกษตรกรรมยั่งยืน โดยทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
โอกาสสีเขียวสำหรับชุมชนในท้องถิ่น
ฟาร์มพลังงานลม Gameleiras ในรัฐรีโอแกรนด์ดูนอร์ตีทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลได้จัดหาพลังงานหมุนเวียนที่จำเป็นอย่างยิ่งให้กับเมืองฌูเอา กามารา ซึ่งเป็นเมืองที่ประสบปัญหาความแห้งแล้ง
โครงการพลังงานลมใหม่แห่งแรกที่สร้างโดยบริษัทในเครือ State Grid Corporation ของจีนในบราซิลได้เสร็จสิ้นไปในปี 2564 ซึ่งฟาร์มแห่งนี้ได้ผลิตพลังงานถึง 360 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้ถึง 358,900 ตัน และสร้างงานในท้องถิ่นกว่า 2,000 ตำแหน่ง
โครงการความร่วมมือที่สำคัญอีกโครงการระหว่างจีนและบราซิลก็คือ โครงการพลังงานลมขนาด 180 เมกะวัตต์ในแทงก์โนโว รัฐบาเอียทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ซึ่งได้รับการพัฒนาโดย CGN Brazil Energy บริษัทในเครือของ China General Nuclear Power Corporation
โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยมีกังหันลม 40 ต้น ซึ่งล้วนผลิตขึ้นในประเทศจีน และมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 180 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าได้ 720 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี จ่ายไฟให้ครัวเรือนได้ 430,000 หลังคาเรือน พร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 650,000 ตันต่อปี
Andre Martini หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาของ CGN Brazil Energy ได้ตอกย้ำถึงประโยชน์ของความร่วมมือดังกล่าว โดยระบุว่าความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้บราซิลสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรลมได้มากขึ้น พร้อมกับสร้างงาน และสร้างรายได้จากภาษี อีกทั้งความร่วมมือนี้ยังได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงและผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ของจีนมาสู่ตลาดของบราซิลเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันอีกด้วย
Luis Antonio Paulino ศาสตราจารย์จาก Sao Paulo State University กล่าวว่าความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียนนี้จะช่วยให้บราซิลสร้างเครือข่ายการจ่ายไฟฟ้าที่สมดุลมากขึ้น ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลก
ปกป้องสิ่งแวดล้อมจากอวกาศ
นอกเหนือจากภาคส่วนพลังงานแล้ว จีนและบราซิลยังคงความร่วมมืออันแข็งแกร่งในภาคอวกาศมาเป็นเวลาถึง 36 ปี ซึ่งเริ่มต้นด้วยโครงการ China-Brazil Earth Resources Satellite (CBERS) เมื่อปี 2531
โดยมีการพัฒนาดาวเทียมไปแล้ว 6 ดวง รวมไปถึง CBERS-4 และ CBERS-4A ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการน้ำ การวางผังเมือง และการติดตามภัยพิบัติในบราซิล Clezio Marcos de Nardin ผู้อำนวยการ National Institute for Space Research (INPE) ของบราซิล กล่าว
ดาวเทียมเหล่านี้ยังให้ข้อมูลสำคัญในช่วงที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงในรัฐริโอแกรนด์ดูซูลทางตอนใต้ของบราซิลในเดือนเมษายน ซึ่งช่วยให้ทางการบราซิลสามารถประเมินความเสียหาย และดำเนินการฟื้นฟูได้ Nardin กล่าวเสริม
ความร่วมมือดังกล่าวยังสนับสนุนการติดตามการตัดไม้ทำลายป่าในป่าอเมซอน ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญสำหรับทั้งบราซิลและทั่วโลก ผ่านการให้ข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ในการอนุรักษ์ป่า
"กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความร่วมมือนี้ช่วยให้รัฐบาลบราซิลสามารถทำการตัดสินใจได้โดยมีข้อมูล ด้วยเหตุนี้เอง ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในด้านดาวเทียมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องโลกที่เราทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกัน" เขากล่าว
ในเดือนเมษายน 2566 จีนและบราซิลได้ยกระดับความร่วมมือทางอวกาศขึ้นไปอีกขั้นผ่านการลงนามในเอกสาร 2 ฉบับ ได้แก่ โปรโตคอลเสริมสำหรับความร่วมมือในการพัฒนา CBERS-6 และแผนความร่วมมือทางอวกาศระหว่าง China National Space Administration และ Brazilian Space Agency ระหว่างปี 2566 – 2575
ข้อตกลงเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเร่งการพัฒนา CBERS-6 ส่งเสริมการศึกษาวิจัยของ CBERS-5 และขยายความร่วมมือในการสำรวจดวงจันทร์และอวกาศลึก
Luciana Santos รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของบราซิลเชื่อว่า เรดาร์ช่องรับแสงสังเคราะห์ใหม่ของดาวเทียม CBERS-6 จะเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจจับ พร้อมกับให้การแจ้งเตือน และข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้นในทุกสภาพอากาศ
ซึ่งจะติดตามไฟไหม้ แหล่งน้ำ ภัยธรรมชาติ การขยายตัวของเมือง และการใช้ที่ดิน โดยให้ความสำคัญไปที่การปกป้องระบบนิเวศของบราซิล โดยเฉพาะป่าอเมซอน Santos กล่าว
"โครงการ CBERS มีความสำคัญอย่างยิ่งในการยับยั้งการตัดไม้ทำลายป่าในอเมซอน" เธอกล่าว "ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างจีนและบราซิลไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อการพัฒนาของทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อโลกอีกด้วย"
การเกษตรแบบยั่งยืน
จีนและบราซิลได้เสริมสร้างความร่วมมือด้านการเกษตรแบบยั่งยืนอีกด้วย โดยหนึ่งในตัวอย่างนี้ก็คือ การส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่าและการแปลงสภาพ (DCF) ซึ่งเป็นการเพาะปลูกโดยไม่ทำลายป่าหรือพืชพรรณธรรมชาติ
COFCO Corporation (COFCO) ผู้ค้าอาหารระดับชั้นนำของจีนเป็นหัวหอกของความพยายามนี้
ซึ่งได้ดำเนินการติดตามที่ดินในฟาร์มบางแห่งในบราซิลตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา เพื่อระบุความเสี่ยง และจัดทำ "ระบบติดตามถั่วเหลือง" โดยอิงจากข้อมูลที่ซัพพลายเออร์ให้มา ทั้งยังได้ฝึกอบรมเกษตรกรท้องถิ่นเพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตถั่วเหลืองของพวกเขาจะไม่นำไปสู่การตัดไม้ทำลายป่า
เกษตรกรท้องถิ่นที่ได้ร่วมมือกับ COFCO ต่างมีความมุ่งมั่นเพื่อที่จะรักษาความยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งเห็นได้จากแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตร และความสัมพันธ์ระยะยาวกับบริษัท
ตลาดจีนมีบทบาทสำคัญในด้านการค้าการเกษตรระดับโลก และสามารถส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวให้กับห่วงโซ่มูลค่าการเกษตรระดับโลกได้อย่างมาก Jack Hurd กรรมการบริหารของ Tropical Forest Alliance จาก World Economic Forum กล่าว
เขายังกล่าวอีกว่า การบริโภคอย่างยั่งยืนและการพัฒนาคุณภาพสูงของอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรมเป็นแนวโน้มที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และหวังว่าบริษัทต่างๆ จะมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มในรูปแบบที่คล้ายคลึงมากขึ้น
Source : พลังงานสีเขียว อวกาศ และการเกษตร: จีนและบราซิลยกระดับความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน
This content was prepared by our news partner, Cision PR Newswire. The opinions and the content published on this page are the author’s own and do not necessarily reflect the views of Siam News Network