ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, 16 กุมภาพันธ์ 2567 /PRNewswire/ — ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบ (DIFC) ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำระดับโลกประจำภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ (MEASA) ในช่วงปี 2566
ฯพณฯ เอสซา คาซิม (Essa Kazim) ผู้ว่าการศูนย์การเงินนานาชาติดูไบ กล่าวว่า "ผลการดำเนินงานของศูนย์การเงินนานาชาติดูไบในปี 2566 สะท้อนให้เห็นบทบาทของศูนย์ฯ ในฐานะศูนย์กลางการเงินชั้นนำระดับโลกในภูมิภาคนี้ อันเป็นหัวใจสำคัญตามวาระเศรษฐกิจของดูไบ (D33) ผลลัพธ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศูนย์การเงินนานาชาติดูไบ ในการเป็นตัวเลือกหลักของบรรดาบริษัทในแวดวงบริการทางการเงินและบริษัทผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลักดันให้ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ ค.ศ. 2030 ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการมีส่วนร่วมต่อจีดีพี (GDP) ของดูไบเป็นเท่าตัวด้วย"
ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบเป็นที่ตั้งของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอยู่ 5,523 แห่ง โดยมีบริษัทก่อตั้งใหม่ 1,451 แห่งในปี 2566 ซึ่งถือเป็นปีที่มีจำนวนการจดทะเบียนใหม่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทางศูนย์ฯ พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศความคืบหน้าที่ดีกว่าที่วางแผนไว้ ในการเพิ่มการมีส่วนร่วมต่อจีดีพีเป็นเท่าตัวภายในปี 2573 ด้วย
สำหรับรายได้รวมในปี 2566 เติบโตทำสถิติมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง แตะหลัก 1.3 พันล้านดีแรห์ม เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 23% ส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 859 ล้านดีแรห์ม เพิ่มขึ้น 27% ขณะที่สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านดีแรห์ม เพิ่มขึ้น 18% สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในสถานะทางการเงินของศูนย์การเงินนานาชาติดูไบ
ปัจจุบัน ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบมีบริษัทในแวดวงการเงินและนวัตกรรมรวมกัน 1,674 แห่ง ซึ่งในปีที่แล้ว มีบริษัทฟินเทคและบริษัทนวัตกรรมเข้ามาจัดตั้งการดำเนินงานที่ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบอยู่ 316 แห่ง ทำให้จำนวนสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 902 แห่ง นอกจากนี้ ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้มีความสามารถ โดยมีจำนวนบุคลากรทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 41,597 คน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำให้เกิดงานใหม่ถึง 5,514 ตำแหน่ง
ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบได้สร้างแหล่งรวมการจัดการความมั่งคั่งและสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้ ซึ่งมีบริษัทในกลุ่มนี้รวมกันกว่า 350 แห่ง ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทุนป้องกันความเสี่ยง 50 แห่งในระบบนิเวศการจัดการความมั่งคั่งและสินทรัพย์ของทางศูนย์ ขณะที่โครงสร้างรากฐานด้านธุรกิจครอบครัวในศูนย์การเงินนานาชาติดูไบก็เพิ่มขึ้น 53% เป็น 443 ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนให้เห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2566
อสังหาริมทรัพย์ที่ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบเป็นเจ้าของและบริหารจัดการยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยนับจนถึงปลายปี 2566 อัตราการเข้าอยู่อาศัยอยู่ที่ 99.5% ขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกของศูนย์ฯ อย่างดีไอเอฟซี ลิฟวิง (DIFC Living) ขายหมดภายใน 48 ชั่วโมงหลังเปิดตัว
ทั้งนี้ ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบยังคงส่งเสริมการเติบโตของตลาดตราสารหนี้ที่ยั่งยืนภายในตลาดแนสแด็ก ดูไบ (Nasdaq Dubai) โดยตลาดศูนย์การเงินนานาชาติดูไบได้กลายเป็นแหล่งซื้อขายตราสารศุกูก (sukuk) ที่มุ่งเน้นด้าน ESG ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีตราสารศุกูกที่มุ่งเน้นด้าน ESG ในสกุลเงินสหรัฐฯ มากกว่า 60% และมีตราสารศุกูกที่มุ่งเน้นด้าน ESG ในทุกสกุลเงินเกือบ 50%
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบ | รายงานประเมินผลงานประจำปี 2566
รูปภาพ – https://mma.prnasia.com/media2/2341201/DIFC_2023_Annual_Review.jpg?p=medium600
This content was prepared by our news partner, Cision PR Newswire. The opinions and the content published on this page are the author’s own and do not necessarily reflect the views of Siam News Network