ปักกิ่ง, 16 ก.ค. 2567/PRNewswire/ — ในปี 2521 สี จิ้นผิง ผู้กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิงหวาในขณะนั้น ได้ไปเยือนเมืองชูโจว มณฑลอานฮุย ทางตะวันออกของจีน และทำการวิจัยภาคสนามเกี่ยวกับการปฏิรูปชนบท
หมู่บ้านเสี่ยวกังในชูโจวถือเป็นแหล่งกำเนิดการปฏิรูปชนบทของจีน เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งริเริ่มแนวคิดการทำสัญญาที่ดินส่วนรวมกับแต่ละครัวเรือน
ระหว่างการเยือนเมืองชูโจว สี จิ้นผิงได้เขียนบันทึกสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินในขณะนั้น "ผมยังคงเก็บสมุดบันทึกนั้นไว้ ประสบการณ์ครั้งนั้นถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมาก เพราะนี่เป็นบทเรียนแรกของผมเกี่ยวกับการปฏิรูปพื้นที่ชนบทนับตั้งแต่เริ่มมีการปฏิรูปและเปิดประเทศ" สีกล่าว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สี จิ้นผิงยังคงมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปทุกเมื่อและทุกที่ในการทำงานของเขา ในปี 2534 สี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเมืองฝูโจวทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ได้เสนอแนวคิด "ทำทันที" ซึ่งเน้นประสิทธิภาพสูงและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการทำงาน
ในปี 2546 สี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์มณฑลเจ้อเจียง ได้เรียกร้องให้มณฑลดังกล่าวซึ่งอยู่ทางตะวันออกของจีนใช้ประโยชน์จากจุดแข็งแปดด้าน ได้แก่ ภูมิภาค เศรษฐกิจการตลาด และนิเวศวิทยา เพื่อบรรลุการพัฒนาที่เป็นการนำทาง สมดุล และยั่งยืน
‘หนทางที่ถูกต้อง’
ในการเยือนตรวจราชการกรุงปักกิ่งครั้งแรกหลังขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนธันวาคม 2555 สี จิ้นผิงได้ไปเยือนมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน ระหว่างการเยือนครั้งนี้ เขากล่าวว่า "การตัดสินใจเริ่มการปฏิรูปและเปิดประเทศเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เราต้องยึดถือหนทางที่ถูกต้องนี้ไว้"
ในเดือนพฤศจิกายน 2556 การประชุมใหญ่ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 ได้อนุมัติการตัดสินใจที่จะขยายขอบเขตการปฏิรูปอย่างครอบคลุม โดยมีเป้าหมายปรับปรุงและพัฒนาระบบสังคมนิยมที่มีคุณลักษณะแบบจีน และปรับปรุงระบบและศักยภาพการปกครองของจีนให้ทันสมัย
กว่าหนึ่งเดือนให้หลัง จีนได้ประกาศการตัดสินใจจัดตั้งคณะผู้นำกลางเพื่อการปฏิรูปเชิงลึกรอบด้าน ซึ่งมีสี จิ้นผิงเป็นหัวหน้า นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีการจัดตั้งคณะผู้นำเพื่อการปฏิรูปโดยเฉพาะในระดับกลาง ต่อมาคณะนี้ได้พัฒนาเป็นคณะกรรมาธิการกลางเพื่อการปฏิรูปเชิงลึกรอบด้าน โดยมีสี จิ้นผิงเป็นผู้อำนวยการ
นับแต่นั้นมา ผู้นำจีนได้จัดการประชุมอย่างน้อย 70 ครั้ง และเสนอแนวทางหลัก แผนงาน มาตรการสำคัญ และภารกิจในการปฏิรูปโดยรวมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการดำเนินมาตรการปฏิรูปมากกว่า 2,000 มาตรการ ทำให้ประเทศสามารถขจัดความยากจนขั้นรุนแรง ส่งเสริมการพัฒนาเมืองและชนบทแบบบูรณาการ ปราบปรามการทุจริต สนับสนุนธุรกิจ ส่งเสริมนวัตกรรม และผลักดัน "การปฏิวัติสีเขียว" ได้
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จีนได้ประกาศชัยชนะในการขจัดความยากจนขั้นรุนแรง เมื่อชาวชนบทเกือบ 100 ล้านคนใน 832 เทศมณฑลยากจนได้หลุดพ้นจากความยากจนตั้งแต่ปี 2556
นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนไม่เพียงแต่เติบโตอย่างแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเติบโตมากกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งตอกย้ำสถานะระดับโลกของประเทศในฐานะผู้มีส่วนสนับสนุนการเติบโตหลัก
รุดหน้าพัฒนาความทันสมัยของจีน
การขยายขอบเขตการปฏิรูปนั้นยิ่งจำเป็นในการเดินทางสู่การพัฒนาจีนให้ทันสมัย โดยสีกล่าวในการประชุมสัมมนาที่มีผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการเข้าร่วมเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า "การปฏิรูปเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนา" โดยเรียกร้องให้ปฏิรูปให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในทุกด้าน เน้นความพยายามที่ส่งเสริมการพัฒนาจีนให้ทันสมัย
สีกล่าวในการประชุมสัมมนาดังกล่าวว่า เขากำลังคิดที่จะปฏิรูปรอบด้านมากขึ้นหลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 โดยกล่าวว่าการประชุมใหญ่ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปนับตั้งแต่เริ่มมีการปฏิรูปและเปิดประเทศ เขากล่าวว่าการปฏิรูปครั้งนี้จะสอดคล้องใกล้ชิดกับธีมการพัฒนาความทันสมัยของจีน
ผู้กำหนดนโยบายของจีนจะมารวมตัวกันที่กรุงปักกิ่งระหว่างวันที่ 15 ถึง 18 กรกฎาคม เพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่ครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญ โดยจะมีการหารือเกี่ยวกับเอกสารนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการขยายขอบเขตการปฏิรูปและการพัฒนาจีนให้ทันสมัย
คาดว่าผลประโยชน์ด้านนโยบายจากการประชุมใหญ่จะช่วยให้จีนโลดแล่นผ่านความซับซ้อนในภูมิทัศน์ระดับโลกได้ดีขึ้น ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตเศรษฐกิจคุณภาพสูง และเพิ่มความรู้สึกได้รับประโยชน์ของประชาชน
Source : CGTN: การขยายขอบเขตการปฏิรูปผลักดันการพัฒนาจีนให้ทันสมัยได้อย่างไร
This content was prepared by our news partner, Cision PR Newswire. The opinions and the content published on this page are the author’s own and do not necessarily reflect the views of Siam News Network