ลอนดอน, 23 กรกฎาคม 2567 /PRNewswire/ — สิงคโปร์หลุดจากกลุ่มหกประเทศที่ครองตำแหน่งสูงสุดร่วมกันในดัชนีจัดอันดับหนังสือเดินทางของเฮนลีย์ (Henley Passport Index) เมื่อเข้าสู่ปีใหม่ที่ผ่านมา โดยทวงคืนตำแหน่งหนังสือเดินทางทรงอิทธิพลที่สุดในโลกในการจัดอันดับล่าสุดที่เผยแพร่ในวันนี้ นครรัฐแห่งนี้ยังสร้างสถิติใหม่ด้วยเมื่อพลเมืองสิงคโปร์สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว 195 แห่งจาก 227 แห่งทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้แล้ว โดยฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสเปน หล่นลงมาอยู่อันดับที่ 2 ร่วมกัน โดยแต่ละประเทศสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง 192 แห่งได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และยังมีกลุ่มเจ็ดประเทศที่อยู่อันดับรวมกันครั้งแรก ซึ่งแต่ละแห่งสามารถเดินทางไปจุดหมายปลายทาง 191 แห่งโดยไม่ต้องขอวีซ่าก่อน ได้แก่ ออสเตรีย ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และสวีเดน ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 3 ในการจัดอันดับ อ้างอิงจากข้อมูลพิเศษและเป็นทางการจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
สหราชอาณาจักรรั้งอันดับที่ 4 ร่วมกับเบลเยียม เดนมาร์ก นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ แม้ว่าคะแนนจุดหมายปลายทางปลอดวีซ่าจะลดลงเหลือ 190 ก็ตาม ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ยังคงหล่นอันดับลงมาอย่างต่อเนื่องครบทศวรรษแล้ว โดยลงมาอยู่อันดับที่ 8 โดยสามารถเข้าจุดหมายปลายทางได้เพียง 186 แห่งโดยไม่ต้องขอวีซ่า อดีตมหาอำนาจด้านหนังสือเดินทางอย่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริการ่วมกันครองอันดับที่ 1 ในดัชนีเมื่อ 10 ปีที่แล้วในปี 2557 อัฟกานิสถานยังคงยึดตำแหน่งเหนียวแน่นในฐานะหนังสือเดินทางที่อ่อนแอที่สุดในโลกโดยสามารถเข้าถึงประเทศแบบปลอดวีซ่าได้เพียง 26 ประเทศ ซึ่งเป็นคะแนนต่ำที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของดัชนีที่มีมาแล้ว 19 ปี
ดร. Christian H. Kaelin ประธานบริษัทเฮนลีย์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ส (Henley & Partners) กล่าวว่า "จำนวนจุดหมายปลายทางโดยเฉลี่ยทั่วโลกที่ผู้เดินทางสามารถเข้าเมืองโดยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจาก 58 แห่งในปี 2549 เป็น 111 แห่งในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ช่องว่างการเดินทางทั่วโลกระหว่างอันดับสูงสุดและล่างสุดในดัชนีไม่เคยห่างเท่านี้มาก่อน โดยสิงคโปร์ที่ติดอันดับสูงสุดสามารถเข้าถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้มากกว่าอัฟกานิสถาน 169 แห่ง ซึ่งเป็นตัวเลขทำลายสถิติ"
จากข้อมูลของ IATA สายการบินต่าง ๆ จะเชื่อมโยงผู้คนเกือบ 5 พันล้านคนใน 22,000 เส้นทางบน 39 ล้านเที่ยวบินในปี 2567 แต่ Willie Walsh ผู้อำนวยการทั่วไปของ IATA กล่าวว่าอัตรากำไรขั้นต้นนั้นบางมาก: "อุตสาหกรรมการบินคาดว่าในปีนี้จะมีรายรับเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่ค่าใช้จ่ายจะมีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 30.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแปลงเป็นอัตรากำไรสุทธิเล็กน้อยประมาณ 3% ทำให้กำไรต่อผู้โดยสารเหลือเพียง 6.14 ดอลลาร์ ซึ่งแทบไม่พอจ่ายค่าเอสเพรสโซแก้วเดียวในคาเฟ่โรงแรมด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนที่แท้จริงของการเดินทางทางอากาศก็ลดลง 34% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา"
ผู้ไต่อันดับ ผู้หล่นอันดับ และการเลือกตั้ง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ติด 10 อันดับแรกเป็นครั้งแรก โดยเพิ่มจุดหมายปลายทางที่น่าประทับใจ 152 แห่งนับตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนีในปี 2549 และได้รับคะแนนปลอดวีซ่าปัจจุบันที่ 185 ทำให้กลายเป็นผู้ไต่อันดับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยเพิ่มขึ้น 53 อันดับจากอันดับที่ 62 ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 9 ประเทศที่อันดับร่วงลงมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือเวเนซุเอลา ซึ่งร่วงไป 17 อันดับจากอันดับที่ 25 ไปอยู่ที่อันดับที่ 42 ประเทศนี้มีกำหนดจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบชี้ขาดในวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งอาจพลิกชะตาชาวเวเนซุเอลากว่า 7 ล้านคนที่ได้หนีออกจากประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
Annie Pforzheimer อดีตนักการทูตอาชีพสังกัดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และผู้ร่วมงานอาวุโสที่ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศที่ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies) แสดงความคิดเห็นในรายงานการเดินทางทั่วโลกของเฮนลีย์ (Henley Global Mobility Report) ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งเผยแพร่ในวันนี้พร้อมการจัดอันดับหนังสือเดินทางล่าสุด โดยกล่าวว่ากลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการย้ายถิ่นฐานและการท่องเที่ยวในอเมริกามีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการเลือกตั้งสหรัฐที่กำลังจะมาถึง: "ความกังวลหลัก ๆ ของพวกเขาเกี่ยวกับมาตรการที่มีแนวโน้มบังคับใช้ภายใต้การบริหารรอบที่สองของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการยุติระบอบสถานะสิทธิคุ้มครองชั่วคราว การยกเลิกโครงการคุ้มครองทางกฎหมายแก่ผู้อพยพเข้าเมืองเมื่อยังเยาว์วัย (Deferred Action for Childhood Arrivals) และผลที่ตามมาคือการส่งคนที่มีสิทธิ์เข้าโครงการดังกล่าวมากถึง 1 ล้านคนกลับประเทศ"
แอฟริกาติดอันดับรายชื่อผู้ถูกปฏิเสธวีซ่าสหภาพยุโรปมากที่สุด
ในงานวิจัยใหม่ฉบับพิเศษที่เผยแพร่ในรายงานวันนี้ ศาสตราจารย์ Mehari Taddele Maru ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำ School of Transnational Governance ที่ European University Institute และมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ในอิตาลี ได้เปรียบเทียบอัตราการปฏิเสธวีซ่าเชงเก้นสำหรับผู้สมัครชาวแอฟริกันกับผู้สมัครจากภูมิภาคอื่น ๆ ผลการวิจัยพบว่าประมาณ 3 ใน 10 หรือ 30% ของผู้ยื่นขอวีซ่าเชงเก้นชาวแอฟริกันถูกปฏิเสธ เมื่อเทียบกับผู้สมัคร 1 ใน 10 ทั่วโลก แม้ว่าทวีปดังกล่าวจะมีจำนวนการยื่นขอวีซ่าต่อหัวน้อยที่สุดก็ตาม นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่ายิ่งประเทศต้นทางในแอฟริกายากจนเท่าใด อัตราการปฏิเสธสำหรับประชาชนจากประเทศดังกล่าวก็จะยิ่งสูงขึ้น
"แม้จะมีเหตุผลที่อิงจากความกังวลด้านความปลอดภัยหรือเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัด แต่ระบบวีซ่าของยุโรปแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีอคติที่มีอยู่ก่อนแล้วต่อผู้สมัครชาวแอฟริกันที่ต้องเผชิญโชคร้ายสามเด้ง: หนังสือเดินทางที่ทรงพลังน้อยกว่า อัตราการปฏิเสธวีซ่าสูงขึ้น และผลที่ตามมาคือความคล่องตัวทางเศรษฐกิจที่จำกัด กล่าวโดยสรุป บุคคลที่ยากจนที่สุดต้องเผชิญกับความยุ่งยากมากที่สุดเมื่อต้องการเดินทางหรือย้ายไปยังประเทศที่เจริญรุ่งเรืองกว่า"
Source : สิงคโปร์ครองแชมป์หนังสือเดินทางทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอีกครั้ง
This content was prepared by our news partner, Cision PR Newswire. The opinions and the content published on this page are the author’s own and do not necessarily reflect the views of Siam News Network